ภาะวะพร่องสุขภาพ ผลจากพฤติกรรมและวิถีชีวิตที่ไม่สมดุล
บ่อยครั้งที่ไปโรงพยาบาลเพราะอาการเจ็บป่วย และมักได้ยากลับมาทานตามอาการ แต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยโรคใด ๆ นั่นเป็นเพราะไม่ใช่ความผิดปกติที่สามารถวินิจฉัยได้ แต่กลับสร้างความบั่นทอนสุขภาพอยู่ไม่น้อย หรือเรียกว่า “ภาวะพร่องสุขภาพ”
ภาวะพร่องสุขภาพ (Sub-optimal health) เป็นภาวะก้ำกึ่งระหว่างสุขภาพดีและโรคภัยจากการขาดวิตามินและเกลือแร่เพียงเล็กน้อย หรือเรียกว่า “สถานะที่สามของสุขภาพ” ไม่ใช่โรค แต่เป็นสัญญาณหรืออาการเตือนก่อนที่จะนำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ จากอาการเรื้อรังที่ไม่แสดงความผิดปกติทันที แต่สร้างความบั่นทอนสุขภาพ และทำให้คุณภาพชีวิตลดลง เป็นปัญหาใหม่ทางสาธารณสุขที่ไม่สามารถวินิจฉัยได้เนื่องจากความไม่ชัดเจนและไม่เฉพาะเจาะจงของอาการ ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพและวิถีชีวิต ยกตัวอย่างเช่น การขาดวิตามินดีซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่ และเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลกในทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะในผู้ใหญ่วัยทำงานและผู้สูงอายุที่มีผลกระทบร่วมจากอายุที่มากขึ้น
อาการเสื่อมจากภาวะพร่องสุขภาพจะค่อยเป็นค่อยไป และไม่มีอาการที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับกลุ่มสารอาหารที่บกพร่อง เช่น
-
- ภาวะพร่องวิตามินดี และแคลเซียม ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดกระดูก วิตกกังวล ความอยากอาหารลดลง จากวิถีชีวิตที่ปกป้องหรือป้องกันผิวจากแสงแดดทำให้ร่างกายสังเคราะห์ได้ไม่เพียงพอ
- ภาวะพร่องธาตุเหล็ก วิตามินบี9 หรือวิตามินบี12 ทำให้อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น จากการผลิตเม็ดเลือดแดงที่ลดลง
- ภาวะพร่องวิตามินเอ วิตามินซี และสังกะสี ทำให้เป็นหวัด เจ็บป่วยง่าย จากภูมิคุ้มกันทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
- ภาวะพร่องแมกนีเซียม วิตามินบี6 และวิตามินบี 12 ทำให้มีอาการนอนไม่หลับ ตื่นแล้วไม่สดชื่น จากการผลิตเซโรโทนิน และเมลาโทนินที่ลดลง
สาเหตุการขาดวิตามินและเกลือแร่มาจากการบริโภคสารอาหารที่ไม่เพียงพอ (ปฐมภูมิ) และผลจากโรคประจำตัวที่มาจากวิถีชีวิต (ทุติยภูมิ) เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การไม่เจอแสงแดด การใช้ยา รวมถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพด้วยตนเอง สามารถทำแบบสอบถาม (SHSQ-25) Suboptimal health status questionnaire-25 ครอบคลุมด้วยข้อคำถาม 5 หมวดหมู่ ได้แก่ ความเหนื่อยล้า ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบย่อยอาหาร ระบบภูมิคุ้มกัน และสถานะสุขภาพจิต ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ค่าแนะนำปริมาณสารอาหารที่ควรบริโภคและค่าสูงสุดที่บริโภคได้ต่อวันสำหรับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และตัวอย่างแหล่งอาหาร
สารอาหาร | ค่าแนะนำ (RDA) | ค่าสูงสุด (UL) | แหล่งอาหาร |
วิตามิน A (ug) | 800 | 3000 | น้ำมันตับปลา ตับ นม ไข่ ผักผลไม้สีเขียว ส้ม เหลือง |
วิตามิน D (ug) | 5 | 100 | แสงแดด ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู กุ้ง |
วิตามิน B6 (ug) | 2 | 100 | สัตว์เนื้อแดง และไข่แดง |
วิตามิน B9 (ug) | 200 | 1000 | ดอกะหล่ำ ดอกและใบกุยช่าย มะเขือเทศ แตงกวา |
วิตามิน B12 (ug) | 2 | 1000 | เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เท่านั้น |
วิตามิน C (mg) | 60 | 2000 | ผักและผลไม้รสเปรี้ยว |
เหล็ก (mg) | 15 | 120 | สัตว์เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ พืชตระกูลถั่ว ผักใบเขียว |
แคลเซียม (mg) | 800 | 2500 | นมและผลิตภัณฑ์ ผักใบเขียว |
สังกะสี (mg) | 15 | 40 | ไข่ เต้าหู้ ผักโขม เห็ด ธัญพืช หอยนางรม |
แมกนีเซียม (mg) | 350 | 500 | ธัญพืช โฮลเกรน ผักใบเขียว |
RDA: Recommended Dietary Allowances, UL: Tolerable Upper Intake Levels
สุขภาพถือเป็นกุญแจสำคัญของชีวิต องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ให้นิยามสุขภาพว่า “สภาวะความผาสุกทางร่างกาย จิตใจ และสังคมที่สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่การไม่มีโรคหรือความทุพพลภาพเท่านั้น” ถึงแม้ว่าปัจจุบันโรคที่เกิดจากการขาดสารอาหารรุนแรงนั้นจะพบเจอได้ยาก แต่การบริโภคสารอาหารรอง (วิตามินและแร่ธาตุ) ที่ไม่เหมาะสมยังคงเป็นเรื่องปกติ สาเหตุหลักจากวิถีชีวิตที่บริโภคสารอาหารไม่เป็นไปตามคำแนะนำ (RDA) ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ที่รบกวนสุขภาพ เช่น การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ และการไม่ออกกำลังกาย เป็นต้น การบริโภคสารอาหารที่เพียงพอเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่สภาวะสุขภาพที่ดี สารอาหารตาม RDA หรือ “ค่าต่ำสุดที่ควรบริโภคเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพสำหรับผู้ที่มีสุขภาพดี” อาจเป็นผลดีกว่าในผู้ที่บริโภคมากกว่าค่าแนะนำโดยไม่ควรเกินค่าสูงสุดต่อวัน จะเห็นได้ว่า แหล่งของวิตามินและเกลือแร่ส่วนใหญ่พบได้ในผักผลไม้สด ดังนั้น การรับประทานผักผลไม้วันละ 400 กรัม หรือ 5 ฝ่ามือ ตามคำแนะนำของ WHO ก็เพียงพอต่อการป้องกันการขาดวิตามินและเกลือแร่ได้ในผู้ที่มีสุขภาพดี และควรบริโภคในปริมาณที่มากกว่าสำหรับผู้ที่ขาด
การเสริมวิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ สามารถทำได้ ไม่ได้เป็นข้อห้ามแต่อย่างใดสำหรับผู้ที่ขาด เพียงแต่จำเป็นต้องทราบถึงประโยชน์และโทษของการเสริมนั้น ๆ แน่นอนว่าการขาดวิตามินและเกลือแร่เป็นผลเสียต่อร่างกาย แต่การเสริมที่เกินกว่าความต้องการจะเป็นโทษต่อร่างกายเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกลุ่มวิตามินที่ไม่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามิน A, D, E และ K และการเสริมโดยไม่จำเป็นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ที่ดีกว่า ทั้งนี้ เนื่องจากความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล การตรวจวัดระดับวิตามินและเกลือแร่ก่อนการเสริม หรือ “Personalized Vitamin” เป็นหนึ่งในการรักษาเฉพาะบุคคลภายใต้การดูแลของแพทย์ ช่วยลดปริมาณการเสริมเกินความจำเป็นที่อาจเกิดโทษต่อร่างกายได้
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า สาเหตุหลักของภาวะพร่องสุขภาพมาจากพฤติกรรมและวิถีชีวิต ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควรได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นอย่างแรก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย และการนอนหลับ รวมทั้งการรู้เท่าทันสุขภาพ และหมั่นสำรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ยังคงเป็นการดูแลป้องกันที่ดีที่สุด แต่ด้วยอุปสรรคจากวิถีชีวิตวัยทำงานทำให้การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นไปได้ค่อนข้างยาก การเสริมสารอาหารที่ขาดเป็นทางออกที่ดีสำหรับบุคคลเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การเสริมอาหารควบคู่กับอาหารเพื่อสุขภาพย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า สิ่งสำคัญคือการรับรู้ประโยชน์และโทษของสารอาหารที่ต้องการเสริม และคอยติดตามตนเองสม่ำเสมอ ดังนั้น ควรศึกษาปริมาณของวิตามินหรือเกลือแร่ในปริมาณที่ไม่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายหรือตรวจระดับวิตามินและเกลือแร่ก่อนการเสริม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนบริโภคเสมอ เพื่อป้องกันอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งการอาการบั่นทอนจากภาวะพร่องสุขภาพเหล่านี้ นำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรังต่อไปได้